วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

กรุงฮานอย



                                       เมืองหลวง10ประเทศอาเซียน

                                        ประเทศเวียดนาม






                                                   ความเป็นมากรุงฮานอย


กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม สถานที่ท่องเที่ยวประเทศเวียดนามที่เป็นที่นิยมและรู้จักกันดีในประเทศเวียดนาม เนื้อที่กว่า 3 พันตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแดง และมีเทะสาบอยู่หลายแห่ง ที่เที่ยว โรงแรม ที่พักฮานอย ต่างๆจึงมีเป็นจำนวนมากซึ่งถือเป็นแหล่งธุรกิจและการท่องเที่ยวในประเทศเวียดนามไปในตัว ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 ที่ผ่านมาฮานอยครบวาระการสถาปนาเมืองยาวนานถึง 1 พันปีฮานอย ในภาษาเวียดนามนั้นหมายถึง ตอนต้นของแม่น้ำ หรือตั้งอยู่ตอนต้นอยู่บนลุ่มแม่น้ำแดงดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ฮานอยเคยมีพื้นที่น้อยกว่านี้ถึง 3 เท่า แต่ได้ขยายพื้นที่ในกรุงฮานอยไปอีกในปี พ.ศ. 2551 เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของเมือง สถานท่องเที่ยวที่ท่านจะได้พบเห็นในเมืองหลวงแห่งนี้ ได้แก่  พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ ฮานอย, จัตุรัสบาดิ่งห์ , วิหารวรรณกรรม , เจดีย์เตริ่นกว็อก,ทะเลสาบคืนดาบ , พระราชวังทังลอง, วัดเนินหยก (Ngoc Son temple) รวมถึงภัตตาคารอาหารเวียดนามมากมายในกรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม

แหล่งท่องเที่ยวเวียดนาม  วิหารวรรณกรรม (Literature temple Hanoi ,Vietnam) หรือ วันเหมียว คือวัดเวียดนามโบราณซึ่งถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนาม สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่ขงจื้อ และต่อมาได้สร้างเป็นโรงเรียนเพื่อให้เหล่าขุนนางได้ศึกษาและสอบจอหงวนในสถานที่เดียวกันแห่งนี้  จนกระทั่งถึงยุคสมัยของราชวงศ์ตรันได้เปิดให้บุคคลทั่วไปได้มาศึกษาเล่าเรียนวิชาเกี่ยวกับปรัชญา การประพฤติปฏิบัต วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์เป็นต้น แต่ภายหลังราวปลายศตวรรษที่ 18 ได้ถูกปิดลงจากการเข้ายึดครองเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส ปัจจุบันกลายเป็นวิหารวรรณกรรมที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งในกรุงฮานอย


พิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ ฮานอย (Ho Chi Minh' s Mausoleum)  เป็นสุสานของโฮจิมินห์ ซึ่งเป็นนักปฏิวัติของชาวเวียดนาม สร้างเสร็จสิ้นเมื่อ พ.ศ.2518 ด้านในจะมีศพของโฮจิมินห์ซึ่งอาบน้ำยาบรรจุในโลงแก้ว แต่การเก็บศพของโฮจิมินห์ไว้เช่นนี้เป็นการขัดต่อความต้องการของโฮจิมินห์เอง สุสานลุงโฮ หรือพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ แห่งนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แก่ผู้มาเยี่ยมชมทั้งชาวเวียดนาม และชาวต่างชาติ สำหรับการเข้าไปภายในจะไม่อนุญาตให้นำกระเป๋าหรือกล้องถ่ายรูปใดๆเข้าไปหุ่นกระบอกน้ำ (Water puppet show) เป็นการแสดงที่มีในเฉพาะที่ฮานอย ที่โรงละครริมทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม บนถนนดิงห์เตียมฮว่าง หุ่นกระบอกน้ำเป็นการเชิดหุ่นด้วยปลายไม้ยาว มีกลไกที่ถือว่าเป็นความลับของนักแสดงในการบังคับหุ่นให้ดูเหมือนมีลีลาเป็นของตัวเอง การเชิดจึงต้องไม่ให้เห็นไม้ที่ใช้บังคับหุ่นเชิดเหล่านี้

ราคาตั๋วเครื่องบิน โรงแรม  ที่พักฮานอย

สำหรับการเดินทางหลายคนเลือกทริปเดินทางตั้งแต่ ไทย - ลาว - เวียดนาม และ ฮานอย ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวที่ต้องใช้เวลามาก ค่อนข้างเหนื่อย ไม่เกี่ยงเรื่องเวลา เพราะตั้งใจว่าไปไหนไปกัน แต่สำหรับท่านที่ต้องบินลัดฟ้าภายใน 2 ชม. ราคาตั๋วเครื่องบิน สำหรับการบินไทยราคาอยู่ที่ประมาณ 8,000 บาท 3 วัน ไป-กลับ จากกรุงเทพฯถึงฮานอย และสำหรับเที่ยวบินของ vietnam airlines ขาไป และขากลับการบินไทย ราคาตั๋วเครื่องบินไม่เกิน 17,000 บาท โดยประมาณ รายละเอียดโปรดตรวจสอบให้แน่ชัดด้านที่พักฮานอย ในเวียดนามราคาไม่ต่างจากประเทศไทยมากนัก โรงแรมระดับ 5 ดาวในราคาตั้งแต่ 3000 บาท ถึง 7000 บาท และโรงแรมระดับ 2 - 3 ดาว ราคาประมาณ 500 - 2000 บาท เท่านั้น อย่างเช่น 
โรงแรมโซฟิเทล เลเจนด์ เมโทรโพล ฮานอย ราคา 6,405 บาท
โรงแรมโซฟิเทลพลาซ่าฮานอย ราคา 3,103 บาท
โรงแรมฮานอยอิมพีเรียล ราคา 1,849 บาท
โรงแรมฮานายโอลด์ควอเตอร์  ราคา 549 บาท
ฮานอย รอยัล โฮเต็ล ราคา 502 บาท
โรงแรมรีลเวียดนาม ราคา 571 บาท
โรงแรมรอยัลทู ราคา 451 บาท
อย่างไรก็ตามหากท่องเที่ยวด้วยตนเอง โปรดตรวจสอบด้านข้อมูลการท่องเที่ยวและค่าใช้จ่ายอีกครั้ง กรุงฮานอยประเทศเวียดนามนั้นได้รับการพัฒนาและขยับขยายทั้งเนื้อที่ ประชากร และทางด้านเศรษฐกิจเรื่อยมา เวียดนามได้เข้าร่วมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเพื่อหวังว่าจะเป็นประโยชน์สูงสุดทางด้านเศรษฐกิจ และคาดว่าจะเป็นผู้นำทางด้านคมนาคม และในด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเมืองหลวงของเวียดนาม กรุงฮานอย ไม่น้อยกว่าประเทศใดๆในภูมิภาคนี้

เนปิดอว์


                               เมืองหลวง10ประเทศอาเซียน
                      
                                   ประเทศพม่า


         


                                                              ความเป็นมาเนปิดอว์


          กรุงเนปีดอ เริ่มสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2548 และสร้างเสร็จสิ้นเมื่อปี พ.ศ. 2551 มีเนื้อที่ทั้งสิ้นประมาณ 7 พันตารางกิโลเมตร หรือถ้าเทียบขนาดกับประเทศสิงคโปร์แล้ว ก็จะมีขนาดใหญ่กว่าประมาณ 10 เท่า กรุงเนปีดอ ตั้งอยู่ในเขตเมืองปินนามา บริเวณตอนกลางของประเทศ ซึ่งห่างจากกรุงย่างกุ้งไปประมาณ 385 กิโลเมตร

          ผังเมืองของกรุงเนปีดอ แบ่งออกเป็น 4 โซนหลัก ๆ คือ โซนราชการ โซนโรงแรม โซนอุตสาหกรรม และโซนทหาร ซึ่งปัจจุบัน มีประชากรย้ายเข้าไปยังกรุงเนปีดอกว่า 9 แสนคน โดยที่กรุงเนปีดอ มีโรงแรมอยู่ทั้งสิ้น 24 แห่ง กว่า 1,600 ห้อง แต่นั่นเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ เท่านั้น เพราะสิ่งที่โดดเด่นที่สุดคงเป็น โซนทหาร เนื่องจากเต็มไปด้วยศูนย์ราชการ โรงเรียน มหาวิทยาลัย และคลังอาวุธเพื่อใช้ในการป้องกันประเทศ    แต่ไฮไลท์ของกรุงเนปีดอ อยู่ที่การสร้างอนุสาวรีย์ของ 3 กษัตริย์ผู้ก่อตั้งพม่า คือ พระเจ้าอโนรธา แห่งเมืองพุกาม พระเจ้าบุเรงนอง แห่งกรุงหงสาวดี และพระเจ้าอลองชญา แห่งชเวโบ ซึ่งอนุสาวรีย์ของสามบูรพกษัตริย์นี้ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ที่ใจกลางเมืองเนปีดอ และไม่ใช่เพียงเท่านั้น ทางการพม่ายังได้สร้างมหาเจดีย์อุปปตศานติ โดยแบบจำลองของมหาเจดีย์ชเวดากองในกรุงย่างกุ้ง สร้างแรงดึงดุดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชมยิงนัก


          แม้ว่าจะอยู่ห่างจากกรุงย่างกุ้งไม่มาก แต่การเดินทางโดยทางรถยนต์ไปยังกรุงเนปีดอนั้น จะต้องใช้เวลาราว 7-8 ชั่วโมงเลยทีเดียว เนื่องจากถนนหนทางยังไม่เรียบร้อย และที่ตั้งของกรุงเนปีดอเองก็อยู่ในหุบเขาลึก และแม้ว่าจะมีการสร้างถนนมุ่งสู่เมืองหลวงแห่งใหม่นี้ ความยาวกว่า 323.3 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมต่อ 3 เมืองหลักของประเทศ คือ เนปีดอ ย่างกุ้ง มันฑะเลย์ แต่ทว่าทางหลวงสายนี้ยังไม่มีผู้ใช้งานสักเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลทหารพม่า ก็มีแผนที่จะสร้างรถไฟใต้ดิน ความยาวกว่า 50 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมต่อกรุงเนปีดอสู่ส่วนต่าง ๆ ของประเทศอีกด้วย

         ส่วนสนามบินของกรุงเนปีดอนั้น ได้มีการเปิดสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ของประเทศขึ้นเมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งใช้ในโอกาสที่พม่า เป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำกลุ่มอนุภาคลุ่มแม่น้ำโขง และเพื่อใช้ในการรองรับนักท่องเที่ยวที่คาดว่า ในอนาคต จะมีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
          ส่วนปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ในตอนย้ายกรุง ยังคงมีมาให้พูดถึงกันจนปัจจุบัน ทางด้านความพร้อมนั้น ยังคงไม่มีใครกล้าตอบว่า พร้อมสมบูรณ์แบบ เนื่องจากสาธารณูปโภค โรงพยาบาล โรงเรียน มหาวิทยาลัย ก็เพิ่งสร้างเสร็จ และการคมนาคมก็ยังไม่สะดวกเรียบร้อย แม้จะมีการเปิดถนน 8 เลน ที่เชื่อมกรุงเนปีดอกับจังหวัดอื่น ๆ ในประเทศ แต่ก็ยังไม่ค่อยมีรถผ่านแต่อย่างใด ซ้ำยังถูกสื่อต่างชาติขนานนามว่า เป็นเมืองหลวงที่ไร้ชีวิตชีวา เนื่องจากมีคนอยู่น้อย และถนนหนทางยังโล่งเสียเป็นส่วนใหญ่

         
อย่างไรก็ดี อาจจะเป็นเพราะปกครองด้วยระบอบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จจึงทำให้มีการสั่งการรวดเร็ว และย้ายเมืองหลวงได้ภายในระยะเวลาอันสั้น มีข่าวว่า มีการใช้รถบรรทุก 18 ล้อ  ขนสัมภาระทั้งวันทั้งคืน เพื่อเร่งสร้างเมืองใหม่ให้เสร็จโดยด่วน ดังนั้น เวลาที่ใช้ในการสร้างเมืองใหม่จึงรวดเร็วเป็นอย่างมาก เพราะเพียง แค่ 3 ปีก็พร้อมที่จะเปิดเนปีดอ ออกสู่สายตาของชาวโลก และการบริหารจัดการที่รวดเร็วแบบนี้ ก็คงต้องพึ่งเงินทุนมหาศาลจากแหล่งเงินทุนขนาดใหญ่ ซึ่งประเทศจีน ได้อนุมัติเงินกู้กว่า 160 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และประเทศไทย ก็อนุมัติเงินกู้กว่า 100 ล้านดอลลาร์ ผ่านเอ็กซิมแบงค์ เพื่อให้รัฐบาลพม่านำไปใช้ในการสร้างเมืองหลวงใหม่ของประเทศ   แม้ว่ากรุงเนปีดอจะสร้างเสร็จพร้อมที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวแล้ว แต่ทางการพม่าก็ไม่อนุญาตให้มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมจนกว่าจะถึงปี พ.ศ. 2555 ยกเว้นผู้ที่มีวีซ่าธุรกิจ จึงสามารถเข้ากรุงเนปีดอได้ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการการท่องเที่ยวยังเสนอให้รัฐบาลพม่าออกวีซ่านักท่องเที่ยว เพื่อต้อนรับการเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ปี 2013 และการประชุมสุดยอดอาเซียน ปี 2014 ที่กำลังจะมาถึง

          สุดท้ายนี้ เราคงต้องจับตาดูกันว่า เมืองหลวงแห่งใหม่ ที่ใช้งบประมาณมหาศาลในการสร้าง จะสามารถพาพม่าเข้าสู่ยุคใหม่  และนำความเจริญรุ่งเรืองสู่ภูมิภาคแห่งลุ่มแม่น้ำอิระวดีนี้ได้หรือไม่...

กรุงพนมเปญ



                            เมืองหลวง10ประเทศอาเซียน

                                           กรุงพนมเปญ




                                                    ความเป็นมากรุงพนมเปญ
พนมเปญไม่ได้มีจุดเริ่มต้นจากการเป็นถิ่นฐานที่ตั้งหลัก จนกระทั่งเข้าสู่ยุคเมืองพระนคร หลังจากนครวัดและเมืองอื่นๆใกล้เคียงเริ่มมีชื่อเสียงโดดเด่นประจักษ์สู่สายตาประชาคมโลก ช่วงกลางศตวรรษที่ 15 เจ้าพระยาญาติย้ายราชธานีจากเมืองพระนครหนีสยามมาตั้งอยู่ที่นครวัดและสร้างพระราชวัง ณ พื้นที่ที่เป็นกรุงพนมเปญในปัจจุบัน ต่อมาภายหลังมีการสร้างเจดีย์ขึ้นซึ่งในขณะนั้นเมืองยังไม่ได้เป็นเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ จนกระทั่งปี ค.ศ. 1866 ภายใต้การปกครองของพระบาทสมเด็จพระนโรดม พรหมบริรักษ์ จึงได้แต่งตั้งกรุงพนมเปญเป็นเมืองหลวงของประเทศ
อย่างไรก็ตามสามปีก่อนตั้งกรุงพนมเปญเป็นราชธานี กัมพูชาลงนามในสนธิสัญญายอมเป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส ซึ่งต่อมาถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอาณานิคมฝรั่งเศสแถบอินโดจีนที่รวมถึงเวียดนามและลาว ภายใต้อำนาจการปกครองแบบเต็มรูปแบบของปารีส ทำให้พนมเปญมีศักยภาพและเติบโตแบบก้าวกระโดด จากเมืองที่มีขนาดเล็กกว่าหมู่บ้าน ก้าวไปสู่การพัฒนาเป็นเมืองท่าริมน้ำที่ทันสมัยของฝรั่งเศส
แม้จะมีความวุ่นวายในส่วนอื่นๆ ของประเทศทั้งก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แต่พนมเปญยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสจนกระทั่งปี ค.ศ. 1953 ภายใต้การนำของสมเด็จนโรดมสีหนุและคลื่นมวลชนชาวเขมรที่ออกมาเรียกร้องเอกราช จนได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสอย่างสมบูรณ์ ซึ่งช่วงต้นของปี ค.ศ. 1970 พนมเปญค่อนข้างมีความสงบท่ามกลางทะเลสงครามในประเทศกัมพูชา
ในปี ค.ศ. 1975 กองกำลังเขมรแดงภายใต้การนำของพอลพตบุกโจมตีพนมเปญ หลังจากเข้ายึดครองไม่กี่วันจึงเริ่มกวาดล้างประชากรกว่าสองล้านคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่โดยเนรเทศออกไปสู่ชนบท ภายใน 4 ปีพนมเปญแทบร้างผู้คน ยกเว้นเขตพื้นที่กักกัน เช่น S-21 และพื้นที่บางส่วนที่ชาวเขมรแดงอาศัยอยู่
เมื่อเขมรแดงถูกขับไล่ออกไปจากกรุงพนมเปญในปี ค.ศ. 1979 ผู้คนจึงค่อยๆ ทยอยกลับเข้ามาอาศัยในเมืองอีกครั้ง แต่เนื่องจากสภาพบ้านเมืองที่ถูกทำลายและทรุดโทรมอย่างมาก รวมถึงจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นน้อย องค์การระหว่างประเทศจึงเริ่มเข้ามามีบทบาทและให้ความช่วยเหลือในการฟื้นฟูบ้านเมือง หลังจากการลงนามในความตกลงทางการเมืองสมบูรณ์แบบในความขัดแย้งกัมพูชา หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า ข้อตกลงสันติภาพกรุงปารีส (Paris Peace Agreement) ในปี ค.ศ.1991 ซึ่งคืนเสถียรภาพเต็มที่แก่ประชาชนชาวกัมพูชา
ในปี ค.ศ.1999กัมพูชาเข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่มประเทศอาเซียนซึ่งสนับสนุนและดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาร่วมลงทุนในกัมพูชามากขึ้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นในทางที่ดีสำหรับประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประเทศ

นครหลวงเวียงจันทน์



                                     เมืองหลวง10ประเทศอาเซียน

                                       ประเทศลาว

                


                                       ความเป็นมานครหลวงเวียงจันทน์


เคยมีคนกล่าวเกี่ยวกับนครหลวงเวียงจันทน์ว่า "ใครว่าเวียงจันทน์เศร้า อย่าเพิ่งรีบพูดไป  เพราะเมืองนี้กำลังเติบโตเหมือนลูกแตงกวายักษ์ลูกสุดท้าย"
นครหลวงเวียงจันทน์เป็นเมืองหนึ่งที่เก่าแก่ของเลาวซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงตอนกลาง ซึ่งเป็นเมืองที่เคยมีบทบาททางด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และ สังคม ผ่านประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1200 ปี และเคยมีการติดต่อกับเมืองโบราณอื่นๆ เช่น จีน อินเตียโบราณ และประเทศอื่นๆ ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้


ตามตำนานแล้ว เมืองเวียงจันทน์ถูกสร้างขึ้นโดยนาคชื่อสุวรรณนาค เวียงจันทน์เป็นเมืองเก่าแก่ซึ่งเคยรวมเอาสองฝั่งแม่น้ำโขง ชื่อของเวียงจันทน์ในตอนแรกคือ "บ้านหนองคันแทผีเสื้อน้ำ" และมีผู้ครองนครคนแรกชื่อว่า "บุรีจันทน์" หรือ "พระยาจันทบุรีประสิทธิศักดิ์"  ในระหว่าง ก่อนค.ส. 430-120 พงศาวดารกล่าวว่า เมืองเวียงจันทน์เป็นเมืองใหญ่จนมีเขตการปกครองติดกับเมืองมะลุกขะนครสีโครตะบอง (คำม่วน).
ในปี ค.ศ. 1357 เจ้าฟ้างุ่มมหาราช ได้ฉลองชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ในการรวบรวมแผ่นดินลาวเข้าเป็นปึกแผ่นได้สำเร็จ และสถาปณาเป็นอาณาจักรล้านช้างที่มีอำนาจและบารมีเป็นที่เกรงขามของอาณาประชาราษฎร์ พิธีฉลองจัดขึ้นที่ปากป่าสัก เมืองเวียงจันทน ซึ่งเป็นเมืองโบราณก็สืบต่อขยายอาณาเขต และได้รับการสถาปณาขึ้นเป็นเมืองหลวงของประเทศ
ใน ค.ศ.1560 เจ้าไชยเชษฐาธิราชได้ย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบาง และประกาศให้เมืองเวียงจันทน์เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรล้านช้าง โดยมีชื่อว่า "นครจันทบุลี ศรีสัตนาคะหุต อุตะมะราชธานี" หรือ เวียงจันทน์ ตั้งแต่นั้นมา เมืองเวียงจันทน์ก็เจริญรุ่งเรืองทุกด้าน มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม สังคม ที่เข้มแข็ง
ในศตวรรษที่ 16 นี้ เจ้าไชยเชษฐาธิราชได้มีการปฎิสังขรณ์ พระธาตุหลวง และสร้างที่ประดิษฐานขององพระแก้วมรกต วัดวาอาราม และเจดีย์ สิ่งเหล่านี้แสดงถึงลักษณะเฉพาะ และความเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมลาวล้านช้าง
ในศตวรรษ ที่ 17 ภายใต้การปกครองของเจ้าสุริยะวงศาธรรมิกราช เวียงจันทน์ได้เติบโต และเจริญที่สุดเมืองหนึ่ง นครแห่งนี้เป็นศูนย์กลางบริหารด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม บรรดากษัตริย์ที่ปกครองแต่ละองค์ล้วนมีพระปรีชาสามารถ กล้าหาญและทรงโอบอ้อมอารี ทำให้อาณาประชาราษฎร์ ล้วนมีแต่ความสุข พระราชวังถูกสร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่และสวยงาม เห็นเป็นสีทองเหลืออร่ามริมฝั่งโขง
ในอดีต นครหลวงเวียงจันทน์ของอาณาจักรล้านช้างได้รวมเอาสองฝั่งแม่น้ำโขง ในแบบเรียนประถมหนึ่งสมัยก่อนยังมีบางวรรคที่เขียนไว้ว่า "ประเทศฉันชื่อว่าเมืองลาว กว้างยาวสุดตาเหลืองอร่าม น้ำโขงผ่าไหลผ่านกลาง" อย่างไรก็ตาม เวียงจันทน์ได้ถูกเผาราบคาบโดยกองทัพประเทศไทย ในปี ค.ศ.1828 และถูกแบ่งออกเป็นสองเมือง เมืองที่อยู่ด้านขวาของแม่น้ำโขงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย และเมืองที่เหลืออยู่ฝั่งซ้ายนั้นเป็นส่วนหนึ่งของประเทศลาว  ในปัจจุบันนี้ นครเวียงจันทน์จึงเหลือพื้นที่ครึ่งหนึ่งของพื้นที่ๆเคยมีเมื่อครั้งอดีต


บันดาร์เสรีเบกาวัน



                                        เมืองหลวง10ประเทศอาเซียน

                                        ประเทศบรูไน




                                            ความเป็นมาบันดาร์เสรีเบกาวัน

บันดาร์เสรีเบกาวัน (Bandar Seri Begawan) เป็นเมืองหลวงและเมืองท่าที่สำคัญของประเทศบรูไนอยู่ในเขตการปกครองบรูไน-เมารา มีประชากรประมาณ 60,000 คน เดิมชื่อว่า เมืองบรูไน ภายหลังเมื่อบรูไนพ้นจากการคุ้มครองของอังกฤษแล้ว จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็นบันดาร์เสรีเบกาวัน

ปัจจุบันกรุงบันดาเสรีเบกาวันเป็นศูนย์กลางการเงินธุรกิจการค้า และการอุตสาหกรรมของประเทศ ทั้งยังเป็นสถานที่ผลิตน้ำมันปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติด้วย 

เมืองหลวงของบรูไน เป็นที่ตั้งสถานที่สำคัญของประเทศ เช่น พระราชวังหลวง ศูนย์ประวัติศาสตร์บรูไนพิพิธภัณฑ์บรูไน สุเหร่าที่ใหญ่ที่สุดในซีกโลกตะวันออกคือ มัสยิดโอมาร์ อาลี ไซฟัดดิน และ กัมปงเอเยอร์ หมู่บ้านดั้งเดิมของชาวบรูไนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำบรูไน

กรุงบันดาร์เสรีเบกาวันเป็นเมืองเดียวของบรูไน ที่เรียกว่าเมืองได้เต็มปาก บันดาร์เสรีเบกาวันเป็นเมืองสวยสะอาด ถนนในเมืองกว้างขวางและมีตึกรามบ้านเรือนทันสมัย มีสุเหร่าขนาดใหญ่อยู่กลางเมือง คือมัสยิดโอมาร์ อาลี ไซฟัดดิน 

ในบริเวณสุเหร่ามีสระขุดขนาดใหญ่ประดับสถานที่ให้ดูเด่นสง่างาม ภายในสุเหร่าปูพื้นด้วยหินอ่อนจากอิตาลี และปูพรมสั่งทอพิเศษผืนใหญ่มหึมา นับว่าเป็นศูนย์รวมชาวมุสลิมในบรูไนและเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดของศาสนาอิสลามในบรูไน

นอกจากมัสยิดโอมาร์ อาลี ไชฟัดดินแล้ว กรุงบันดาร์เสรีเบกาวันยังเป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจหลายแห่งของบรูไน อาทิ พิพิธภัณฑ์บรูไน กับพิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีมาเลย์ 

ซึ่งแสดงสถาปัตยกรรมการก่อสร้างบ้านในแม่น้ำอย่างที่กัมปงเอเยอร์ นอกจากนี้ยังมีพระราชวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าและสวยงามมากคือ พระราชวังหลวง อิสตานา นูรัล อีมาน ซึ่งจะเปิดให้เข้าชมหลังจากเดือนรอมฎอน หรือหลังพิธีถือศีลอด

ส่วนแรกของชื่อ Bandar มาจากภาษาเปอร์เซีย بندر แปลว่า "ท่าเรือ" หรือ"ที่หลบภัย" 

ส่วนที่สองของชื่อคือ Seri Begawan มาจากคำว่า "ศรีภควัน" (Sri Bhagwan) ในภาษาสันสกฤตหมายถึง ผู้ศักดิ์สิทธิ์

กรุงเทพมหานคร



                                     เมืองหลวง10ประเทศอาเซียน

                                       ประเทศไทย





                                                 ความเป็นมากรุงเทศมหานคร

กรุงเทพมหานคร มาจากนามพระราชทาน "กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์" มีความหมาย "เมืองของเทวดา มหานครอันเป็นอมตะ สง่างามด้วยแก้ว 9 ประการ และเป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดิน เมืองที่มีพระราชวังหลายแห่ง ดุจเป็นวิมานของเทวดา ซึ่งพระวิษณุกรรมสร้างขึ้นตามบัญชาของพระอินทร์" ปัจจุบันภาษาราชการเรียก กรุงเทพมหานคร และอย่างย่อว่า กรุงเทพฯ
แต่เมื่อแรกสถาปนาราชธานีนั้น ตรงสร้อย "อมรรัตนโกสินทร์" พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี พระราชทานว่า "บวรรัตนโกสินทร์" จวบจนถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนเป็น อมรรัตนโกสินทร์ และต่อมามักเรียกกันว่า กรุงรัตนโกสินทร์ ชื่อกรุงเทพมหานครเมื่อถอดเป็นอักษรโรมัน คือ Krung Thep Maha Nakhon แต่ต่างชาติส่วนใหญ่เรียกเมืองนี้ว่า Bangkok อันมาจากอดีตของเมืองซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งของเมืองธนบุรีศรีมหาสมุทร ที่ชาวต่างชาติเรียกกันว่า "บางกอก" แต่จะออกเสียงเป็น "แบงก์ค็อก" มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา มีความสำคัญในฐานะเส้นทางออกสู่ทะเลและติดต่อค้าขายกับอาณาจักรต่างๆ ทั้งเป็นเมืองหน้าด่านขนอน คอยดูแลเก็บภาษีจากเรือสินค้าทุกลำที่ผ่านเข้าออก ส่วนบริเวณปากน้ำตรงอ่าวไทย เรียกกันว่า "นิวอัมสเตอร์ดัม" (ฝรั่งเทียกับกรุงอัมสเตอร์ดัมของฮอลแลนด์ที่เมืองท่าสำคัญของยุโรป) มีชุมชนใหญ่และโกดังของชาวต่างประเทศไว้สำหรับพักสินค้า ปัจจุบันคือพื้นที่บริเวณอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
สำหรับที่มาของคำว่า บางกอก มีข้อสันนิษฐานว่าอาจมาจากที่แม่น้ำเจ้าพระยาคดเคี้ยวไปมา บางแห่งมีสภาพเป็นเกาะเป็นโคก จึงเรียกกันว่า "บางเกาะ" หรือ "บางโคก" แล้วเพี้ยนเป็นบางกอก บ้างก็ว่าเนื่องเพราะบริเวณนี้มีต้นมะกอกอยู่มาก จึงเรียกว่า "บางมะกอก" คือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นมะกออก ข้อสันนิษฐานนี้อ้างอิงมาจากชื่อเดิมของวัดอรุณราชวราราม คือ วัดมะกอก (ก่อนจะเป็นวัดมะกอกนอก และวัดแจ้ง ตามลำดับ) และต่อมาบางมะกอกกร่อนคำเหลือแค่ บางกอก 
เมื่อครั้งกอบกู้อิสรภาพจากพม่าหลังเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.2310 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงสถาปนาเมืองธนบุรีศรีมหาสมุทรให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ คือ กรุงธนบุรี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2313 แต่ด้วยกรุงธนบุรีมีสภาพเป็นเมืองอกแตก ตรงกลางมีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน เมื่อ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) ขึ้นเสวยราชสมบัติ เฉลิมพระนาม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีพระราชดำริว่า ฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยามีชัยภูมิดีกว่า เพราะมีลำน้ำเป็นขอบเขตอยู่กว่าครึ่ง หากข้าศึกยกมาติดถึงชานพระนคร ก็จะต่อสู้ป้องกันได้ง่ายกว่า 

โปรดเกล้าฯ ให้สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นทางฝั่งตะวันออกนั้นเป็นราชธานีแห่งใหม่ โดยสืบทอดศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมจากพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา ทรงประกอบพิธียกเสาหลักเมืองเมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ย่ำรุ่งแล้ว 54 นาที ปีขาล จ.ศ.1144 จัตวาศก ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 เวลา 6.54 น. พระราชทานนามก่อนมีการเปลี่ยนแปลงสร้อยในรัชกาลที่ 4 ดังกล่าว
วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2514 รัฐบาลได้รวมจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรีเข้าด้วยกัน เป็นนครหลวงกรุงเทพธนบุรี และภายหลังการปรับปรุงการปกครองใหม่เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2515 ได้เปลี่ยนเป็นชื่อเป็น กรุงเทพมหานคร
กรุงเทพมหานคร คือราชธานี (เมืองหลวง) ของราชอาณาจักรไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ โปรดให้สร้างขึ้นบนฝั่งซ้ายหรือฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อประกา..พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรก แห่งพระราชวงศ์จักรี เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ ได้มีพิธียกเสาหลักเมือง เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๕ เวลาย่ำรุ่ง ๔๕ นาที (๐๖.๔๕ น.) พระราชทานนามเมืองนี้ว่า "กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทราอยุธยา มหาดิลกภพนพรัตน์ ราชธานีบุรีรมย์ อุดมนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกทัติยวิษณุกรรมประสิทธิ" (สมัยรัชกาลที่ ๔ เปลี่ยนเป็น "กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ ฯลฯ")

เมื่อแรกสร้างกรุงเทพ ฯ คงมีพื้นที่เฉพาะเขตกำแพงเมืองเท่านั้น คือ กำแพงเมืองยาวประมาณ ๗ กิโลเมตร ด้านตะวันออก เลียบตามแนวคูเมืองที่ขุดแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่บางลำพู มาออกแม่น้ำเจ้าพระยา ทางด้านทิศใต้ใกล้สะพานพุทธยอดฟ้า ฯ เรียกว่า คลองบางลำพู และคลองโอ่งอ่างด้านตะวันตก ใช้แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นคูเมือง แต่มิได้สร้างกำแพงเมืองเหมือนด้านตะวันออก รายรอบกำแพงเมืองและริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีป้อมอยู่ ๑๔ ป้อม มีประตูเมืองขนาดใหญ่ ๑๖ ประตู ประตูเมืองขนาดเล็ก ที่เรียกว่าช่องกุดอีก ๔๗ ประตู 
เนื้อที่ในครั้งนั้นมีเพียง ๒,๑๖๓ ไร่ พื้นที่นอก กำแพงเป็นทุ่งนาปลูกข้าว

สิงคโปร์



                                       เมืองหลวง10ประเทศอาเซียน

                                     ประเทศสิงคโปร์





                                                     ประวัติความเป็นมาสิงคโปร์

สิงคโปร์ เป็นที่รู้จักกันครั้งแรกในสมัยศตวรรษที่ 3 ของชาวจีน พวกเขาเรียกสิงคโปร์ว่า “พู เลา ชุง” (เกาะปลายคาบสมุทร”) ณ เวลานั้นไม่ค่อยมีใครทราบประวัติของเกาะแห่งนี้มากนัก
ในศตวรรษที่ 14 สิงคโปร์ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรศรีวิชัย (Sri Vijayan Empire) และรู้จักกันในชื่อของเทมาเซ็ค (เมืองแห่งทะเล) สิงคโปร์ตั้งอยู่ตรงปลายแหลมมลายู ซึ่งเป็นจุดนัดพบทางธรรมชาติของเส้นทางเดินเรือ เกาะแห่งนี้จึงกลายเป็นจุดแวะพักของเรือเดินสมุทรหลายประเภท ตั้งแต่เรือสำเภาจีน เรืออินเดีย เรือใบอาหรับ และเรือรบของโปรตุเกส ไปจนถึงเรือใบบูจินีส
ในศตวรรษที่ 14 เกาะที่มีขนาดเล็กแต่มีทำเลที่เยี่ยมแห่งนี้ก็ได้ชื่อใหม่ นั่นก็คือ “สิงหปุระ” (“เมืองสิงโต“) ตามตำนานเล่าว่า เจ้าผู้ครองนครปาเล็มบัง เดินทางแสวงหาดินแดนใหม่เพื่อสร้างเมือง แต่เรือก็อับปางลง พระองค์ได้ว่ายน้ำขึ้นฝั่ง แล้วก็เห็นสัตว์ชนิดหนึ่งมีรูปร่างลำตัวสีแดงหัวดำหัวคล้ายสิงโตหน้าอกขาว พระองค์จึงถามคนติดตามว่า สัตว์ตัวนั้นคืออะไรคนติดตามก็ตอบว่ามันคือ สิงโต พระองค์จึงเปลี่ยนชื่อเทมาเส็กเสียใหม่ว่า สิงหปุระ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของชื่อ สิงคโปร์
ระหว่างศตวรรษที่ 18 นั้น อังกฤษเล็งเห็นถึงความสำคัญของ “จุดแวะพัก” ทางยุทธศาสตร์ สำหรับซ่อม เติมเสบียง และคุ้มกันกองทัพเรือของอาณาจักรที่เติบใหญ่ของตน รวมถึงเพื่อขัดขวางการรุกคืบของชาวฮอลแลนด์ในภูมิภาคนี้ ตรงกันข้ามกับเบื้องหลังทางการเมืองที่กล่าวมา เซอร์สแตมฟอร์ด แรฟเฟิล ได้ตกลงกับสุลต่านว่า จะตั้งสถานีการค้าของอังกฤษที่นี่ แต่สุดท้ายอังกฤษก็ยึดสิงคโปร์ไว้เป็นเมืองขึ้นได้สำเร็จ จากนั้นได้ดำเนินนโยบายการค้าเสรีดึงดูดพ่อค้าจากทั่วทุกส่วนของเอเชียและจากที่ห่างไกลออกไป เช่น สหรัฐอเมริกาและตะวันออกกลาง
ในปี ค.ศ.1824 ห้าปีหลังจากตั้งประเทศสิงคโปร์ในปัจจุบัน ประชากรก็เพิ่มขึ้นจากเดิมเพียง 150 คนจนกลายเป็น 10,000 คน ในปี 1832 สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางรัฐบาลของถิ่นฐานช่องแคบปีนัง มะละกา และสิงคโปร์ การเปิดคลองซุเอซในปี 1869 และการเข้ามาของเครื่องโทรเลขและเรือกลไฟทำให้ความสำคัญของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่กำลังขยายตัว
ระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออก
สิงคโปร์เคยเป็นที่ทำสงครามในศตวรรษที่ 14 เมื่อเข้าเกี่ยวพันกับการแย่งชิงแหลมมลายูระหว่างประเทศสยาม (ไทย) กับจักรวรรดิมัชปาหิตบนเกาะชวาอีกห้าศตวรรษถัดมา ที่นี่ก็เกิดสงครามครั้งสำคัญขึ้นอีกครั้งในระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เคยถือกันว่าสิงคโปร์เป็นป้อมปราการที่ไม่มีวันแตก แต่แล้วกองทัพญี่ปุ่นก็สามารถยึดครองเกาะแห่งนี้ได้ในปี 1942
หลังสงคราม สิงคโปร์ก็กลายเป็นอาณานิคมของอังกฤษ การเติบโตของลัทธิชาตินิยมทำให้สิงคโปร์มีรัฐบาลปกครอง
ตนเองในปี 1959 แล้ววันที่ 9 สิงหาคม 1965 สิงคโปร์ก็กลายเป็นสาธารณรัฐอิสระ


กรุงมะนิลา

     

                                    เมืองหลวง10ประเทศอาเซียน

                                  ประเทศฟิลิปปินส์


                                         


                                                ประวัติความเป็นมากรุงมะนิลา

จากอดีตจนถึงปีค.ศ. 1976 มะนิลาเป็นเพียงกลุ่มชนเล็กๆ ที่ประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่ทั้ง 17 เมือง ต่อมาประธานาธิบดีมาร์คอสได้ทำการรวบรวมทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาศูนย์กลางเมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียจึงได้ถือกำเนิดขึ้น มะนิลามีความได้เปรียบทางด้านภูมิศาสตร์โดยชนกลุ่มแรกได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณอ่าวมะนิลา เนื่องด้วยภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีการค้าขายระหว่างประเทศ ทั้งการส่งออกผ้าไหมจากโลกเก่าไปขายยังฝั่งตะวันตก รวมถึงการส่งออกเงินและทองคำจากโลกใหม่สู่ฝั่งตะวันออก ทำให้เมืองท่าน้ำลึกแห่งนี้กลายเป็นทางเลือกสำหรับพ่อค้าเดินเรือสมุทรชาวต่างชาติคนแรกที่ค้นพบอ่าวมะนิลาเป็นชาวจีนที่เดินทางมาถึงเกาะลูซอนในปี ค.ศ. 98 ต่อมาอิทธิพลของชาวจีนได้ถูกแทนที่ด้วยการครองราชย์จากองค์สุลต่านราชสุไลมาน อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดวัฒนธรรมท้องถิ่นส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากสเปนซึ่งหลงเหลือร่องรอยไว้ตั้งแต่เข้ามาตั้งอาณานิคม โดยมาเจลลัน นักสำรวจที่มีชื่อเสียงได้เทียบท่าที่เกาะฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 1521 และประกาศสิทธิเหนือดินแดนหมู่เกาะทั้งหมดว่าเป็นของสเปนในทันทีในปี ค.ศ. 1571 สเปนได้ขยายเขตการปกครองไปถึงกรุงมะนิลาและเริ่มก่อตั้งสิ่งปลูกสร้างต่างๆ เช่น ป้อมปราการอินทรามูรอส จากนั้นเริ่มก้าวสู่การค้าโลกโดยการธุรกิจเดินเรือมะนิลา-อะคาพัลโค แกลเลียน ซึ่งก่อให้เกิดผลกำไรงอกงามและส่งผลให้มะนิลาเป็นเมืองหนึ่งที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชียตะวันออกในขณะนั้น ตราบจนปัจจุบันยังสามารถชมร่องรอยความเจริญรุ่งเรืองจากยุคนั้นได้ที่พิพิธภัณฑ์ซานอากุสติน การเข้ามาปกครองของสเปนทำให้เกิดการผสมวัฒนธรรมแบบลาตินเข้ากับวัฒนธรรมเอเชียและทำให้เกิดเป็นวัฒนธรรมรูปแบบใหม่ที่มีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่ซ้ำใคร
ท้ายที่สุดเมื่อชาวฟิลิปปินส์พร้อมที่จะประกาศอิสรภาพในปี ค.ศ. 1898 พวกเขาได้กบฎต่อกฎของอาณานิคมสเปน สหรัฐอเมริกาอนุมัติให้ฟิลิปปินส์จัดตั้งเป็นรัฐใหม่ ในปี ค.ศ.1935 แต่เมื่อญี่ปุ่นเข้ามารุกรานในปี ค.ศ.1941 จึงต้องยกเลิกไป ต่อมาในปี ค.ศ. 1942 กองทัพญี่ปุ่นบังคับให้กองกำลังอเมริกันและฟิลิปปินส์ยอมแพ้ แต่หลังจากทำสงครามที่ยืดเยื้อทั้งทางบกและทางทะเล ชาวอเมริกันจึงสามารถยึดอำนาจการปกครองเหนือดินแดนกลับมาได้อีกครั้ง
น่าเสียดายที่การต่อสู้ส่งผลเสียหายต่อประเทศและทำให้เศรษฐกิจล้มเหลว แม้ในที่สุดชาวฟิลิปปินส์ได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1946 แต่ด้วยความเปราะบางจึงทำให้เอกราชที่ได้รับมาดำรงอยู่จนเพียงปี ค.ศ.1965 เมื่อเฟอร์ดินานด์มาร์คอสได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี มีการทุจริตอย่างมากในสมัยของประธานาธิบดีนี้ เกิดการจลาจลเพื่อต่อต้านรัฐบาลจนต้องประกาศกฎอัยการศึกและนำไปสู่ยุคสมัยที่น่าอับอายของประเทศการละเมิดสิทธิมนุษยชนของมาร์คอสไม่ลดน้อยถอยลงจนกระทั่งกลุ่มมวลชนออกมาเคลื่อนไหวในปี ค.ศ.1986และขับไล่มาร์คอสรวมถึงผู้สนับสนุนออกนอกประเทศ รัฐบาลได้ดำเนินการเพื่อปรับเปลี่ยนประเทศเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างช้าๆ เพื่อช่วยขับเคลื่อนให้มะนิลากลับเข้ามามีบทบาทที่โดดเด่นอีกครั้ง

กรุงกัวลาลัมเปอร์

                                 

                      เมืองหลวง10ประเทศอาเซียน

                                      ประเทศมาเลเซีย






                                                       ประวัติความเป็นมากรุงกัวลาลัมเปอร์

กัวลาลัมเปอร์ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1857 โดยกลุ่มคนงานเหมืองที่ค้นพบแร่ดีบุกบริเวณสันดอนปากแม่น้ำซึ่งแม่น้ำกอมบักและแม่น้ำคลางมาบรรจบกัน ผู้บุกเบิกเหล่านั้นต่างก็หัวรุนแรงและมีร่างกายใหญ่โตกำยำ ซึ่งภาพลักษณ์เช่นนี้ยังคงเห็นอยู่ในยุคแรกเริ่มที่กัวลาลัมเปอร์เพิ่งเปิดเป็นจุดหมายการท่องเที่ยว ภายใน 150 ปีกัวลาลัมเปอร์ได้พัฒนาประเทศและเติบโตขึ้นจาก 'สันดอนที่เป็นโคลนตม' (ความหมายของกัวลาลัมเปอร์) มาเป็นเมืองที่ทันสมัยด้วยประชากรกว่าล้านคนในปัจจุบันผู้ที่ค้นพบเมืองกัวลาลัมเปอร์อย่างเป็นทางการได้แก่ ‘กัปตันเรือชาวจีน’ ชื่อ Yap Ah Loy ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากสุลต่านในการนำชาวจีนที่ระเหเร่ร่อนเข้ามาจัดระเบียบและตั้งถิ่นฐานที่นี่ ในปีค.ศ.1880 กัวลาลัมเปอร์ค่อยๆ พัฒนาจนกลายเป็นเมืองอย่าง ‘แท้จริง' โดยกลุ่มชาวเหมืองที่ประสบความสำเร็จและพ่อค้าต่างๆเริ่มปลูกสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยในย่านจาลันอัมปัง (Jalan Ampang) อีกทั้งชาวอังกฤษชื่อ แฟรงค์ สเว็ทเท็นแฮม ได้เขียนร่างผังเมืองกัวลาลัมเปอร์ขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงนั่น ต่อมาในปีค.ศ. 1886 ได้จัดสร้างทางรถไฟเพื่อเชื่อมโยงกัวลาลัมเปอร์ไปยังท่าเรือคลาง หลังจากนั้นเมืองก็มีการพัฒนาและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
กัวลาลัมเปอร์ในปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงแหล่งธุรกิจและการลงทุนเพื่อการค้าของมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังศูนย์กลางทางการเมืองและเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ด้วยแผนการดำเนินการที่มุ่งหวังให้กัวลาลัมเปอร์เป็นเมืองที่มีศักยภาพสูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนในปี 2020 กัวลาลัมเปอร์จึงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องปีต่อปีหรืออาจเติบโตเกือบจะวันต่อวัน ซึ่งในปัจจุบันภายในเมืองมีตึกระฟ้าสร้างขึ้นจำนวนมากจนกลายเป็นป่าคอนกรีตในเวลาชั่วพริบตาแม้ว่าล่าสุดนั้นเมืองจะมีการเติบโตและพัฒนาเป็นอย่างมาก แต่กัวลาลัมเปอร์ยังคงรักษาความงดงามในอดีตไว้เช่นเดิม สามารถพบเห็นอาคารสิ่งปลูกสร้างสมัยยุคอาณานิคมตั้งเด่นสง่าอย่างน่าภูมิใจ เชื่อมต่อไปบนพื้นที่ทางเท้าที่มีสิ่งก่อสร้างรูปแบบทันสมัยมากมายย่านกลางใจเมืองคลาคล่ำไปด้วยร้านขายของริมทางเท้าและสีสันของตลาดยามค่ำคืน ทำให้เมืองแห่งนี้มีชีวิตชีวาและน่าตื่นเต้นสำหรับผู้ที่แวะมาเยือน เพลิดเพลินไปกับลีลาท่าทางของเหล่าพ่อค้าที่พยายามแข่งขันจูงใจผู้ซื้อด้วยวิธีต่างๆ เที่ยวชมศาสนสถานที่ตั้งเรียงรายสองข้างถนน ซึ่งมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ สวยงามแตกต่างกันไปตามความเชื่อและประเพณีวัฒนธรรมของแต่ละศาสนา

กรุงจาการ์ตา



                       เมืองหลวง10ประเทศอาเซียน


                                  ประเทศอินโดนีเซีย



                    

                              ประวัติความเป็นมากรุงจาการ์ตา


เมืองหลวงที่เต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวอันคึกคักของอินโดนีเซียแห่งนี้ เป็นเมืองท่าเก่าแห่งกรุงจาการ์ตา ด้วยทำเลที่ตั้งเชิงกลยุทธ์บนชายฝั่งตะวันตกของเกาะชวา จาการ์ตาเปรียบเสมือนประตูไปสู่หมู่เกาะทั้ง 17,000 เกาะของอินโดนีเซีย เดิมทีเป็นอาณานิคมของชาวดัตช์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 และจาการ์ตาได้พัฒนาสู่การเป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่ทันสมัย เมืองหลวงแห่งนี้มีประชากรอาศัยอยู่ 7.5 ล้านคนและกรุงจาการ์ตายังมีหลายสิ่งหลายอย่างเพียบพร้อมสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยวที่แวะมาเยี่ยมเยียนหากมองแค่เพียงผิวเผินแล้ว จาการ์ตาเป็นเมืองที่แออัด สกปรก และมีพลเมืองมากเกินไป แต่เมื่อคุณเริ่มให้ความสนใจกับสิ่งรอบด้านโดยเฉพาะละแวกใกล้เคียงแล้ว คุณจะพบกับสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่น่าประหลาดใจและคุ้มค่าแก่การสำรวจ ตั้งแต่ร่องรอยสมัยเป็นเมืองบาตาเวียครั้งเมื่อถูกยึดครองโดยดัตช์ เมื่อปีค.ศ.1600 จนถึงห้างสรรพสินค้าทันสมัยอย่างพลาซ่าอินโดนีเซีย นับว่าจาการ์ตาเป็นเมืองหลวงที่รักษาความสมดุลระหว่างความเก่าและความใหม่ได้เป็นอย่างดี นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะมุ่งหน้าไปยังเขตโกตาเพื่อสัมผัสบรรยากาศที่เก่าแก่แบบบาตาเวียและท่าเรือเก่าซุนดา เคลาปาอันโคล ดรีมแลนด์เป็นอีกหนึ่งสถานที่โดดเด่นอยู่ทางภาคเหนือของกรุงจาการ์ตา ที่นี่เป็นศูนย์รวมความบันเทิงหลากหลาย ทั้งการเที่ยวเล่นในสวนสนุกขนาดใหญ่หรือนั่งเรือออกไปชมเกาะแก่งน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนของอ่าวจาการ์ตา เที่ยวชมหมู่บ้านทางวัฒนธรรม เช่น ไชน่าทาวน์ ที่ช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์อย่างน่าอัศจรรย์ให้กับอันโคลที่แสนจะไฮเทค เพื่อให้นักท่องเที่ยวมั่นใจได้ว่ามีกิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ให้เลือกหลายแห่ง
โรงแรม ร้านอาหาร และสถานบันเทิง ส่วนใหญ่มักตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมือง แต่สามารถพบเห็นได้ง่ายทั่วไปทุกมุมเมือง ถ้าคุณสามารถรับมือกับความร้อนและความชื้นที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในจาการ์ตาได้ คุณจะพบว่าเมืองหลวงของอินโดนีเซียแห่งนี้มีความรื่นรมย์อย่างน่าประหลาดใจ